ไม่ว่ายุคสมัยไหน ความงามดูจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอด และหนึ่งในเมคอัพเก่าแก่ที่มีพลังในการพลิกโฉม เปลี่ยนแปลงบุคลิก และเพิ่มเสน่ห์ให้ผู้หญิงทุกคนราวกับเวทมนต์คงหนีไม่พ้นลิปสติก แต่กว่าลิปสติกจะถูกพัฒนาจนกลายเป็นเครื่องสำอางยอดฮิต มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และเป็นที่รักของผู้หญิงทุกคนอย่างทุกวันนี้ ลิปสติกมีวิวัฒนาการเป็นมาอย่างไร เราลองไปดูกัน…
5000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
: ชาวสุเมเรียนบดอัญมณีเพื่อใช้ตกแต่งดวงตาและริมฝีปาก
3000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
: ชาวอียิปต์โบราณทาปากเพื่อแสดงสถานะ ว่ากันว่า “พระนางคลีโอพัตรา” ใช้มดหรือแมลงปีกแข็งสีแดงสด มาบดละเอียดเพื่อทำเป็นสีแดงสำหรับทาปาก
ค.ศ. 1500 – 1600
: ยุคปฏิวัติวงการแฟชั่น นำโดย “สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1” ลิปสติกของพระองค์ทำจากตะกั่วสีขาวและย้อมด้วยสีแดง คาดว่านั่นเป็นอันตรายและมีส่วนทำให้พระองค์เสียชีวิต จนเกิดวลี “Kiss of Death”
ค.ศ. 500s
: ช่วงยุคกลาง กลุ่มคนเคร่งศาสนาประนามคนที่ทาลิปสติก โดยกล่าวว่านี่เป็นการฝืนประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นเครื่องสำอางของโสเภณี ซึ่งเป็นวิถีของพวกบูชาซานที่ต้องการล่อลวงผู้ชาย
ค.ศ. 1800s
: ในยุควิกตอเรีย สมเด็จพระราชาชินีวิกตอเรียทรงพิจารณาว่าการทาลิปสติกเป็นเรื่องไม่สุภาพ มีการออกประกาศห้ามทาปากสีแดง แต่ “ซาร่าห์ เบิร์นฮาร์ด” นักแสดงชาวฝรั่งเศสก็ท้าทายสายตาสังคมด้วยการทาลิปสติกในที่สาธารณะ
ค.ศ. 1915
: “มอริส เลวี” คิดค้นลิปสติกหลอดโลหะครั้งแรก (ก่อนหน้านี้ถูกห่อด้วยกระดาษไหม) พร้อมบุกเบิกสูตรใหม่ที่ทำจากขี้ผึ้งและน้ำมันมะกอก
ค.ศ. 1923
: “เจมส์บรูซ เมสัน จูเนียร์” ออกแบบลิปสติกหลอดหมุนที่เป็นที่นิยมจนถึงวันนี้
ค.ศ. 1950s
: ลิปสติกมีอิทธิพลต่อเด็กสาววัยรุ่นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไอคอนแห่งยุคอย่าง “มาริลีน มอนโรล” และ “เอลิซาเบธ เทย์เลอร์”
ค.ศ. 1980s
: หลังจากแทรนด์ริมฝีปากสีนู๊ดได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นยุค 60s ลิปสติกสีแดงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง มีการผสมผสานสีที่แปลกใหม่มากขึ้น และมีการจับคู่สีลิปสติกกับชุดที่สวมใส่
ค.ศ. 1990s
: อิทธิพลของกรันจ์มาพร้อมกับลิปสติกเฉดสีน้ำตาลเข้ม สีพลัม และสีดำ
ปัจจุบัน
: ลิปสติกถูกพัฒนาขึ้นหลากหลายรูปแบบ (ลิควิด, แมตต์, บาล์ม ฯลฯ) และกลายเป็นเมคอัพสามัญประจำกระเป๋าของผู้หญิงทุกคน